วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

กลอน

ฝากบทกลอนของ อาจารย์ รอดี ชนะมิตร
ความอ้างว้างปกคลุมทุกหลุมศพ          คือจุดจบคนอวดโตสุดโอหัง
เคยมีทั้งอำนาจมาดคนดัง                   ถูกเขาฝังสงบนิ่งทั้งหญิงชาย
คนอยู่หลังยังระเริงเพลิงราคะ              รอธรรมมะไม่เทิดทูนปล่อยสูญหาย
นำชีวิตเกลือกกลั้วมั่วอุบาย                 คิดกลับตัวก็สายปลายชีวัน
อีกทะนงหลงตนจนเป็นเหตุ                น่าสมเพชไม่ห้ามใจให้ถวิล
ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอาจิณ             เมื่อสูญสิ้นวิปโยคโศกอาลัย
เพราะดุนยาแห่งนี้ที่พำนัก                   เรามาพักเพียงครู่อยู่อาศัย
ไม่นานนักต้องพลัดพากจากกันไป       ติดตัวไว้เพียงผลกรรมกระทำมา..

หยิ่งยโส โอหัง อวดใหญ่ หลงตัวเอง

จำนวนผู้เข้าชมบทความนี้ :  683 คน
ส่งต่อให้เพื่อนพิมพ์หน้านี้
หยิ่งยโส โอหัง อวดใหญ่ หลงตัวเอง
โดย อ.มุคต๊าร ชนะมิตร
          การหยิ่งยโส โอหัง อวดใหญ่ การหลงตัวเองนั้น เป็นคุณสมบัติที่สวนทางกับคุณลักษณะของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง และลักษณะดังกล่าวมักเกิดกับผู้ที่คิดว่า ตัวเองนั้นเกิดมาอยู่ในชนชั้นที่เหนือคนอื่น  เช่น มีฐานะร่ำรวย ตระกูลดี หน้าตาดี หรือมีความรู้มากกว่าคนอื่น สิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้เขามองผู้อื่นอย่างดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลน ทั้งๆที่เขาเกิดมามีสิ่งที่ดีกว่าคนอื่น แทนที่เขาจะขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ให้มากยิ่งขึ้น ในฐานะที่พระองค์ให้เขาเกิดมาอย่างผู้มีความพร้อม แต่เปล่าเลยเขากลับเอาความได้เปรียบ ไปดูแคลน และเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น บางครั้งความเกลียดชังผู้ที่ต่ำต้อยกว่านั้น ถึงกับจะต้องขับไล่ออกไปจากที่ๆเคยอยู่ร่วมกัน หรือต้องเข่นฆ่ากันเพราะมองคนอื่นต่ำกว่า 
         ลักษณะของคนประเภทนี้ มีนิสัยเช่นนี้จะไม่ได้เข้าสวรรค์ ของอัลลอฮ์ อย่างแน่นอน ดังที่พระองค์ ตรัสว่า
"โลกอาคิเราะฮ์นั้น เราได้สร้างมันไว้ให้แก่ผู้ที่ไม่ทำตัวหยิ่งผยอง และสร้างความเสื่อมเสีย บนแผ่นดิน แต่จะเป็นที่สุดท้าย สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์เท่านั้น"
         ดังนั้น ลักษณะของผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ คือ ความนอบน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ไม่หลงตัวเอง ถึงแม้ตัวเขานั้นจะมีความรู้ มีฐานะร่ำรวย หรืออยู่ในตระกูลที่สูงศักดิ์ก็ตาม เพราะเรารู้ว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจ และมีความสมบูรณ์ หาความบกพร่องไม่ได้นั้นคือ พระองค์ อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา องค์เดียวเท่านั้น สำหรับมนุษย์นั้นจะต้องเป็นบ่าวที่ดีต่อพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตนตามที่พระองค์ทรงใช้ และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม การนอบน้อมถ่อมตนนั้น จะทำให้พระองค์ทรงรัก และผู้คนที่อยู่รอบข้างก็จะรักท่านด้วย อัลลอฮ์ ได้สั่งให้ท่านเราะซูล  นอบน้อมแก่ผู้ที่ติดตามท่าน ดังที่พระองค์ ตรัสว่า
"และเจ้าจงนอบน้อม ต่อบรรดาผู้ที่ติดตามเจ้า จากบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหาย"
ท่านเราะซูล  กล่าวว่า
"บุคคล 3 ประเภท ที่อัลลอฮ์ จะไม่พูดกับเ จะไม่ขัดเกลาให้แก่เขา ไม่มองเขาในวันกิยามะฮ์ และบุคคลเหล่านี้จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ บุคคลเหล่านั้นได้แก่ คนชราที่ทำซินา กษัตริย์จอมโกหก และยาจกที่อวดโตหยิ่งผยอง"
          ผู้ที่นอบน้อมถ่อมตนนั้น แม้แต่เวลาเขาจะเดิน จะต้องไม่เดินแบบหยิ่งผยอง ต้องเดินด้วยความสงบเสงี่ยม ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"และเจ้าจงอย่าเดิน อย่างหยิ่งผยอง บนแผ่นดิน เพราะเจ้านั้นไม่สามารถที่จะมุดดินไปได้ และไม่สามารถที่จะให้ตัวโตใหญ่เท่าภูเขาได้"
         ดังนั้น การแสดงความหยิ่งผยอง อวดโตนั้น จึงไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเลย อัลลอฮ์ ทรงบอกให้มนุษย์รู้ถึงทาสแท้ของมนุษย์นั้น ว่ามาจากสิ่งที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย ดังที่พระองค์ ตรัสว่า
"และพระองค์ ทรงเริ่มสร้างมนุษย์ คนแรกจากดิน และพระองค์ทรงให้การสืบตระกูลของมนุษย์ จากน้ำ(อสุจิ)ที่ต่ำต้อยไร้ค่า"
         จากหะดิษและอายะฮ์ต่างๆที่นำเสนอมานั้น จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องเป็นบ่าวที่ดี ที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่ทำตัวเหนือผู้อื่น ไม่ดูถูกผู้อื่น ไม่ว่าจะมีความประเสริฐเหนือกว่าผู้อื่นมากมายอย่งไรก็ตาม เพราะมนุษย์นั้นมีที่มาเหมือนกัน คือ จากน้ำอสุจิที่ไร้ค่า แล้วเมื่อเติบโตขึ้นมาไม่ว่าจะมีการกินอยู่ที่ดีอย่างไร เวลาถ่ายออกมาก็เป็นอุจจาระที่มีกลิ่นเหม็นเหมือนกัน และเมื่อสิ้นอายุก็กลับไปหาอัลลอฮ์เหมือนกัน ไม่เห็นมีใครสักคนที่อยู่ค้ำฟ้า ดังนั้นเราควรที่จะแข่งขันกันทำความดี ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์มากที่สุด ดังพระองค์ตรัสว่า
"แท้จริงผู้ที่มีเกรียติยิ่ง ณ ที่อัลลอฮ์ คือ ผู้ที่ยำเกรงมากที่สุด ในหมู่สูเจ้า"

อิสลามกับหลักสิทธิมนุษยชน

อิสลามกับหลักสิทธิมนุษยชน
โดย อ.อับดุลลอฮ แดงโกเมน
         ชาวโลกส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าโลกตะวันตก คือ ฝ่ายที่ประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชนก่อนใคร เพราะพวกเขาประกาศตนว่าเป็นกลุ่มที่พัฒนาแล้วในทุกๆด้าน โดยเฉพาะในเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งมีข้ออ้างสามประการคือ ภารดรภาพ เสรีภาพ และความเสมอภาค ในทำนองเดียวกันได้มีปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน องค์กรสหประชาชาติได้ประกาศเมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว เพื่อพัฒนาและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ที่มีอยู่ในคำประกาศของฝรั่งเศสเกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชน
          แต่ในความเป็นจริง มุสลิมและชาวโลกทั้งหมดต้องทราบความจริง คือ แท้จริงแล้วอิสลามได้ประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่า 14 ศตวรรษแล้ว ก่อนที่ฝรั่งเศสจะประกาศถึง 12 ศตวรรษ และก่อนที่องค์กรสหประชาชาติจะประกาศมากกว่า 1380 ปี 
         อิสลามมิได้ประกาศเรื่องนี้เฉพาะชนชาติใดชนชาติหนึ่งเท่านั้น หรือเฉพาะยุคใดยุคหนึ่ง แต่เป็นการประกาศเพื่อเป็นหลักการที่สมบูรณ์แบบสำหรับชาวโลกทั้งมวล อิสลามมิได้บังคับให้ผู้คนนับถือศาสนาด้วยการใช้กำลัง และใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ตามที่ถูกกล่าวหา โจมตีจากผู้ไม่หวังดีต่อศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นยังประกาศอย่างชัดแจ้งว่า อิสลามให้สิทธิเสรีภาพในความเชื่อ โดยได้รับการค้ำประกันภายใต้ร่มธงร่มเงาแห่งอิสลาม ดังที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน อายะฮ์ที่ 256 ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ ความว่า
"ไม่มีการบังคับใดๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่ประจักษ์แล้ว จนแยกออกจากความผิด"
         อิหม่าม อิบนุกะษีร อธิบายอายะฮ์ นี้ว่า
         "พวกเจ้า อย่าได้บังคับผู้หนึ่งผู้ใด ให้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เพราะศาสนาอิสลามกระจ่างชัดด้วยความจริง ชัดเจนด้วยหลักฐาน และข้อพิสูจน์ ตลอดทั้งโต้แย้งกับผู้คนทุกยุคทุกสมัย ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ใครเข้ารับอิสลาม แต่ทว่าคนใดที่อัลลอฮ์ทรงนำทางให้เขาเข้ารับอิสลาม และเปิดใจให้ความสว่างแก่เขา ด้วยการศึกษาหาข้อเท็จจริง เขาก็จะยอมรับ ส่วนคนที่อัลลอฮ์ ให้หัวใจเขามืดบอด ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมคิด ไม่ใช้สติปัญญา ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่เขาจะเข้ารับอิสลาม โดยปราศจากความจริงใจ ด้วยการถูกบังคับขู่เข็ญ"
         ท่านเราะซูล  ไม่ตอบรับข้อเสนอของ ฏุฟัยล์ บิน อัมร อัดเดาซีย์ เมื่อเขาต้องการให้ส่งทหารเพื่อทำสงครามกับกลุ่มชนของเขา เพื่อใช้กำลังบีบให้พวกเขาเข้ารับศาสนาอิสลาม ท่านเราะซูล   กล่าวตอบว่า
"ท่านจงกลับไปยังพวกของท่าน จงดูแลและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างอ่อนโยน"
        ครั้งหนึ่งมีศอฮาบะฮ์ เป็นชาวมะดีนะฮ์ มาหาท่านเราะซูล  ขอร้องให้ใช้วิธีการบีบให้พ่อแม่รับอิสลาม แต่ก็ถูกปฏิเสธไป
         อาจมีผู้สงสัยว่า ในเมื่ออิสลามให้สิทธิเสรีภาพในการเชื่อถือเคารพบูชาสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์  แล้วทำไมการทำสงครามสมัยท่านเราะซูล  และการพิชิตดินแดนของบรรดาเคาะลีฟะฮ์ จึงเกิดขึ้นกับชนที่ไม่ใช่มุสลิม ?
คำตอบ - การทำสงครามและการพิชิตดินแดนที่เกิดขึ้นมากมายหลายครั้ง ไม่ใช่เพื่อใช้กำลังบีบบังคับให้ผู้คนเข้ารับอิสลามแต่อย่างใดทั้งสิ้น จาหลักฐานได้มีการทำสัญญาประนีประนอม มีการเจรจาสันติภาพ ซึ่งท่านเราะซูล  ได้ทำขึ้นกับคู่สงครามที่ต่อต้านการประกาศศาสนาของท่าน เมื่อพวกเขาต้องการยุติการสู้รบ และยังมัหลักฐานการทำสัญญาหลายครั้งที่บรรดาเคาะลีฟะฮ์ ได้ให้ไว้แก่บรรดากลุ่มชนและชาวเมืองต่างๆที่ไมใช่มุสลิม แต่แท้ที่จริงแล้ว การทำสงครามและการพิชิตดินแดนในอิสลาม มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองและค้ำประกันการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ให้ปลอดภัยจากการรุกรานและการทำลายร้าง จากบรรดาศัตรูที่จ้องขัดขวาง และฉกฉวยโอกาสบดขยี้อาณาจักรอิสลาม และมุสลิมให้อ่อนแอลง
         อิสลามประกาศการให้สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ในความเป็นมนุษย์ทางด้านสิทธิและหน้าที่ ในกรณีต่างๆที่อิสลามให้การยอมรับคือ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ในการวัดกันที่สีผิว เชื้อชาติ สายตระกูล ความมั่งมี ความยากจน แต่ความประเสริฐ ณ ที่อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างมนุษย์ คือ การมีคุณธรรม การยำเกรงต่ออัลลอฮ์   อัลลอฮ์  ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อัลฮุญุรอต อายะฮ์ ที่ 13 ความว่า
"โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเรา(อัลลอฮ์) ได้สร้างพวกเจ้ามาจากชาย(อาดัม) และหญิง(ฮาวาอ์) และเราได้ให้พวกเจ้ากระจายเป็นเชื้อชาติตระกูล และเป็นเผ่าชนต่างๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ อัลลอฮ์ คือ ผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริง อัลลอฮ์นั้นทรงรู้ อย่างหาผู้ใดเปรียบมิได้ ผู้ทรงเชี่ยวชาญหยั่งรู้(อย่างสมบูรณ์ทุกเรื่องไม่มีสิ่งใดที่พระองค์จะไม่รู้)"
         อิบนุ กะษีร อธิบายอายะฮ์นี้ว่า
         "มนุษย์ทุกคนนั้นมีเกียรติในความเป็นมนุษย์ ที่มีเชื้อสายมาจากธาตุดิน มีต้นกำเนิดเดียวกัน คือ นะบีอาดัม  เท่าเทียมกันทั้งสิ้น แต่จะมีความเหลื่อมล้ำกว่ากัน ขึ้นอยู่กับความรู้ในเรื่องศาสนา หมายถึงการฏออัตต่ออัลลอฮ์ (เชื่อฟัง) และการปฏิบัติตามเราะซูลของอัลลอฮ์  คือ ท่านนะบีมุฮัมมัด  ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์  ทรงตรัส ห้ามการนินทา และเหยียดหยามซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนมีความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ "
         มีรายงานจาก อบูฮุรอยเราะฮ์  ว่า ท่านเราะซูล  ถูกถามว่ามนุษย์กลุ่มใดที่มีเกรียติมากที่สุด ท่านตอบว่า "คนที่มีเกรียติในหมู่พวกเขา ณ อัลลอฮ์ คือ  ผู้ยำเกรงมากที่สุด" พวกเขากล่าวว่า เราไม่ได้ถามท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านเระซูล  กล่าวว่า "ดังนั้นคนที่มีเกรียติที่สุดคือ ยูซุฟ ผู้เป็นนะบีของอัลลอฮ์  บุตรของนะบีอัลลอฮ์ (ยะอ์กูบ) บุตรของนะบีอัลลอฮ์ (อิสหาก) บุตรของสหายของอัลลอฮ์ (อิบรอฮีม)" พวกเขากล่าวว่า เราไม่ได้ถามท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านเราะซูล  กล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นก็หมายถึงเชื้อสายอาหรับใช่ไหม ที่พวกท่านถามฉัน ?" พวกเขาตอบว่า ครับ ท่านเราะซูล   กล่าวว่า "ดังนั้นคนดีของพวกท่านในยุคญาฮิลิยะฮ์ ก็เป็นคนดีของพวกท่านในอิสลาม เมื่อพวกเขาเข้าใจ(ในเรื่องศาสนาอิสลาม)" (รายงานโดย บุคอรีย์)
         จากอะบีซัร เล่าว่า ท่านนะบี  กล่าวแก่เขาว่า
"ท่านจงมองดูตัวเองให้ดี เพราะว่าท่านไม่ได้ดีกว่าคนผิวแดง ไม่ได้ดีไปกว่าคนผิวดำแต่อย่างใด นอกจากท่านจะประเสริฐกว่าเขา ก็ด้วยการมีความตักวา(ยำเกรง)ต่ออัลลอฮ์ มากกว่ากันเท่านั้น" (รายงานโดย อะหมัด) 
         สรุปว่า : อิสลามไม่มีบัญญัติบังคับผู้คนให้เข้ารับอิสลาม และปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง อัลลอฮ์  ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ยูนุส อายะฮ์ที่ 99 ความว่า
" และหากพระเจ้าของเจ้า ทรงประสงค์แล้วไซร้ ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินนี้ทั้งมวล จะต้องศรัทธาอย่างแน่นอน เจ้าจะบังคับผู้คนทั้งหลาย จนกระทั่งเขากลายเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ ?"
- เรื่องการศึกษา อิสลามได้กำหนดให้ทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิงต้องเรียนรู้ เพื่อปฏิบัติสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเท่ากัน เพราะการศึกษานั้นเป็นสิ่งจำเป็น
- บัญญัติอิสลามคุ้มครองผู้บริโภค
- บัญญัติอิสลาม คุ้มครองเด็ก สตรี คนชรา คนอ่อนแอ คนป่วย คนพิการ
- อิสลามคุ้มครองมนุษย์ทุกคน ด้วยหลักการทำดีต่อกัน หลักประกันสังคม โดยอาศัยบัญญัติซะกาต การบริจาคเพื่อช่วยเหลือสังคม การว่าจ้าง การค้าขาย การยืม การรักษาพยาบาล ฯลฯ
จาก :สารดาริสสลาม

สิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม

สิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม
โดย : อาจารย์ มาลิก โยธาสมุทร
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม ซึ่งการสู้รบในเดือนนั้น จงกล่าวเถิดว่า การสู้รบในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่โตและการขัดขวางให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ และการปฏิเสธการศรัทธาต่อพระองค์ และการกีดกัน อัล-มัสยิดิลฮะรอมตลอดจนการขับไล่ชาวอัล-มัสยิดิลฮะรอมออกไปนั้นเป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์ และการฟิตนะห์นั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า และพวกเขาจะยังคงต่อสู้พวกเจ้าต่อไป จนกว่าพวกเขาจะทำให้พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของพวกเจ้า หากพวกเขาสามารถ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
 
(อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 217)
          ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ เถิด ที่จริงศาสนาของอัลเลาะห์ นั้นมีศาสนาเดียว และหนทางของพระองค์นั้นมีอยู่หนทางเดียวที่ชัดเจนเที่ยงตรงที่สุด ส่วนทางที่หลงผิดนั้นมีหลายทาง มีหลายกลุ่ม หลายเหล่าปะปนกันมากมาย อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง(คือทางอื่น ๆ ที่มนุษย์อุตริกำหนดขึ้นเอง ซึ่งมิใช่มาจากอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ) เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง 
(อัลอันอาม 6 : 153) 
          เพราะบรรดาหนทางทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นทนทางที่เป็นเท็จ หลงผิด ที่ชัยฏอนเป็นตัวชี้นำ ชักจูงทั้งสิ้น
          ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ผู้ที่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง ที่ตั้งอยู่บนความจริง จะต้องถูกขัดขวางต่อต้าน จากบรรดาชัยฏอนในทุกรูปแบบและวิธีการ เพื่อให้เขาถลำตัวตกลงไป อยู่ในหนทางที่หลงผิดให้จงได้ ไม่ว่าจะด้วยการสำทับ ข่มขู่ หรือหว่านล้อม ยุยง ส่งเสริมให้กระทำสิ่งใดๆที่ไม่ถูกต้อง และหลงผิดไปจากทางของอัลเลาะห์ ดังนั้น ในฐานะที่เป็นมุสลิม เราจะต้องรู้จักหนทางที่ถูกต้อง และรู้เท่าทันหนทางที่หลงผิด เพื่อที่เราจะสามารถแยกแยะได้ถูกต้อง ไม่หลงกลของชัยฏอน และเพื่อที่จะไม่ถูกมันหลอกลวง และที่สำคัญก็คือ เราจะต้องมีความอดทน และยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับความจริงอยู่เสมอและตลอดไป
          ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย การกลับออกไปจากศาสนาอิสลาม ไปสู่การกุฟุรฺ(มุรตัด)นั้น บางทีก็เป็นการละทิ้งศาสนาอิสลามทั้งหมดไปเป็นกาฟิรเต็มตัว และบางทีก็ด้วยการกระทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้การเป็นอิสลามบกพร่อง หรือทำให้ต้องสูญเสียอิสลามไป แต่ขณะเดียวกัน ผู้นั้นก็ยังคงหลงเรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิมอยู่ เพราะคิดว่าตนยังมีการปฏิบัติสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสลามอยู่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว เขาหาได้เป็นมุสลิมอีกต่อไปไม่ และนี่นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพูดกันให้ชัดเจน เพราะผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังตกอยู่ในสภาพดังกล่าว อันเนื่องจากความเขลาของตนเองโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในฐานะสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม อันเนื่องจากการกระทำที่ทำให้เสียอิสลาม
          บางคนคิดว่า ใครที่ปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากบรรดาสัญลักษณ์ของอิสลาม เขาก็คือมุสลิมแล้ว แม้ว่าเขาจะกระทำสิ่งที่เป็นกุฟุรฺอยู่ก็ตาม ดังกล่าวเป็นการคาดเดาที่ผิดมหันต์ หากแต่เป็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมาอันเนื่องมาจากความเขลา ละการขาดความรู้ในคำสอนของอิสลามนั่นเอง
          และจากการกระทำที่ทำให้เสียอิสลาม(มุรตัด)นี่เอง นับเป็นท่าที่ที่น่าปวดร้าวสำหรับผู้คนเป็นจำนวนมากในปัจจุบันไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ อะไรคือทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง อะไรคือทางที่หลงผิด
          พวกเขาไม่รู้ดอกว่า ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม และมุ่งหน้าทำอิบาดะห์บางอย่างอยู่ แล้วต่อมาเขาได้กระทำสิ่งที่ทำให้เสียอิสลามตามไปด้วยนั้นจะได้รับผลเช่นใด? ดังเช่น ผู้ที่อาบน้ำละหมาด แล้วต่อมาก็มีฮะดัษ(สิ่งที่ทำให้เสียน้ำละหมาด เช่น ผายลม หมดสติ เป็นบ้า หรือกระทบทวารทั้งสอง ฯลฯ) เกิดขึ้น แล้วยังจะถือว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีน้ำละหมาดอยู่อีกกระนั้นหรือ?
          ที่จริงศาสนาอิสลามมิใช่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ปราศจากความเป็นจริง และมิใช่เป็นการรวมกันระหว่างสองขั้วที่ขัดแย้งตรงข้ามกัน แต่อิสลามคือศาสนาแห่งความรู้ ศาสนาที่เป็นจริงและสัตย์จริง อิสลามคือการยอมจำนนตนต่ออัลเลาะห์ ด้วยการให้เอกภาพ(เตาว์ฮีด) ต่ออัลเลาะห์ เป็นหนึ่งเดียวต่อพระองค์ เชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ โดยไม่นำพาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ อิสลามเป็นศาสนาเดียวเท่านั้นที่ครบถ้วยสมบูรณ์ จำเป็นจะต้องดำรงรักษาสัญลักษณ์ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของอิสลามเอาไว้ และให้ห่างไกลจากบรรดาสิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม อิสลามเป็นทั้งศาสนา เป็นทั้งรัฐ เป็นการเคารพภักดี(อิบาดะห์) เป็นบทบัญญัติ(ฮุกุม) และเป็นการปฏิบัติ เป็นการเรียกร้องเชิญชวน(ดะอฺวะห์) และเป็นการเสียสละ ต่อสู้(ญิฮาด) กล่าวโดยสรุป ศาสนาอิสลามคือ ระบอบแห่งการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษยชาตินั่นเอง
          ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ ทั้งหลาย ผู้ที่เป็นมุสลิมนั้น มิได้หมายถึงผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากมุสลิม หรือ “แขก” ตามคำเรียกขานของคนไทยทั่วๆไปที่ยังคงกระทำสิ่งที่ทำให้สูญเสียอิสลาม(กุฟุรฺ) หรือทำในสิ่งที่ทำให้ตนสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) บุคคลประเภทนี้ไม่นับว่าเป็นมุสลิมที่แท้จริง ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่กล่าวยกย่องชมเชยสรรเสริญอิสลาม โดยไม่ยึดมั่นในแนวทางที่เที่ยงตรงของอิสลาม และไม่ปฏิบัติตามบัญญัติ คำตัดสิน ข้อชี้ขาดของอิสลาม ก็ไม่นับว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิมด้วยเช่นกัน
          ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้เสียอิสลามนั้นมีอยู่มากมาย เป็นสาเหตุทำให้สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม(ริดดะห์) เราจะขอยกมากล่าวเฉพาะที่เกิดขึ้นอยู่มากมายในสังคมของเรา เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดแจ้ง และเพื่อเราจะได้ระวังตนไม่ให้ตกอยู่ในสภาพดังกล่าว นั่นก็คือ
          การตั้งภาคี (อัชชิรกฺ) ในการอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์          ดังเช่น มีการอิบาดะห์ต่อกุบู๊ร มีการวิงวอนขอดุอาอฺจากคนตาย การขอความช่วยเหลือจากคนที่ตายไปแล้วเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดกับผู้ตาย หรือเพื่อให้ได้รับตามที่ตนปรารถนาไม่ว่าจะด้วยการบนบานศาลกล่าว(การนะซัร) การเชือดบูชาเพื่อทำตามคำบนบาน การเชือดเพื่อญิน เพื่อให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งปัจจุบันมีทำกันเป็นจำนวนมากจากผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม โดยอ้างว่า เพื่อเป็นสื่อ(วะซีละห์) ระหว่างตัวเขากับอัลเลาะห์เพื่อให้ได้รับความสำเร็จและสมหวังตามที่เขาปรารถนา ไม่ว่าจะด้วยการรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ดี การเชือดให้กับญินก็ดี การเสี่ยงทายต่างๆก็ดี และการเชือดเพื่ออื่นจากอัลเลาะห์ นับเป็นชิริกใหญ่ เป็นชิริกอักบัรทั้งสิ้น
          ริดดะห์อีกชนิดหนึ่งที่ทำให้เสียอิสลามก็คือ การเย้ยหยันสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านรอซูล(ซ.ล.)นำมา เช่นเย้ยหยันในเรื่องการไว้เครา การแปรงฟัน การใช้กันให้ทำความดี ห้ามปรามกันมิให้ทำความชั่ว และในเรื่องการญิฮาด ฯลฯ อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          65. และถ้าหากเจ้าได้ถามพวกเขา(*1*) แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นเพียงแต่พูดสนุก, พูดเล่น,เท่านั้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าต่ออัลลอฮ์ และบรรดาโองการของพระองค์และร่อซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกท่านเย้ยหยันกัน ?  

          66. พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธา(*2*)แล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า(*3*) เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง(*4*)เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด
(อัตเตาว์บะห์ 9 : 65-66)
----------------------------------------------------------------------------------
(1)  เกี่ยวกับคำพูดของพวกเขาที่กล่าวดูถูกและเย้ยหยันท่านนบี 
(2)  คือเนื่องจากพวกเขาเย้ยหยันอัลลอฮ์ และโองการของพระองค์ และเย้ยหยันร่อซูลของพระองค์ (3)  คือกลุ่มที่กลับเนื้อกลับตัวและขออภัยโทษ
(4)  คือกลุ่มที่ดื้อรั้นอยู่ไม่ยอมกลับตัว หรือที่ตายไปโดยมิได้สำนึกผิด และกลับ
          ริดดะห์อีกประการหนึ่ง ที่ทำให้เสียอิสลาม ก็คือการพิพากษา หรือตัดสินที่ไม่เป็นไปตามที่อัลเลาะห์(ซ.บ.) ได้ประทานบัญญัติลงมา ดังนั้น ผู้ใดที่พิพากษาไม่เป็นไปตามที่อัลเลาะห์ได้ทรงมีบัญญัติไว้ และเห็นว่าการพิพากษาของเขานั้น ดียิ่งกว่าฮุกุมของอัลเลาะห์  และผู้เป็นรอซูลของพระองค์ และเป็นประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่า หรือเห็นว่าสามารถที่จะเลือกไม่เอาคำพิพากษาตัดสินของอัลเลาะห์ หรือตัดสินให้ไปเป็นอื่นจากคำพิพากษาตัดสินของอัลเลาะห์ เช่น ใช้กฎหมายอื่นๆทั่วๆไป เขาก็คือ กาฟิรฺ เป็นมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม ตามที่อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          แท้จริงเราได้ให้อัต-เตารอตลงมา โดยที่ในนั้นมีข้อแนะนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดานบีที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัต-เตารอต ตัดสิน(*1*)ด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮ์(*2*) และพวกเขาก็เป็นพยานยืนยันในคัมภีร์นั้นด้วย ดังนั้นพวกเจ้า(*3*) จงอย่ากลัวมนุษย์แต่จงกลัวข้าเถิด และจงอย่าแลกเปลี่ยนบรรดาโองการของข้ากับราคาอันเล็กน้อย(*4*) และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา 
(อัลมาอิดะห์ 5 : 44)
----------------------------------------------------------------------------------
(1)  คือตัดสินระหว่างพวกยิวหลังจากท่านนะบีมูซาได้ล่วงลับไปแล้ว เช่น เกี่ยวกับบรรดาค่อลีฟะฮฺ และบรรดานักปราชญ์ของมุสลิมใช้อัล-กุรอานตัดสินระหว่างมุสลิมีน หลังจากท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (2)  กล่าวคือเนื่องจากอัลลอฮ์ทรงมอบหมายให้บรรดผู้ที่รู้แจ้งในพระองค์และบรรดานักปราชญ์รักษาคัมภีร์ไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้คัมภีร์นั้นตัดสินระหว่างพวกเขา
(3)  หมายถึงบรรดาผู้ที่รู้แจ้งในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลาย
(4)  หมายถึงว่าไม่ยอมปฏิบัติตามโองการของอัลลอฮ์ โดยเห็นแก่ผลประโยชน์อัน
          ไม่ว่าจะเอากฎหมายอื่นใดมาตัดสินในทุกเรื่อง หรือในบางเรื่อง บางกรณีก็ตาม ตราบใดที่เขายังเห็นว่า ดังกล่าวนั้น เป็นการดีแก่สังคม หรือเป็นที่อนุญาตให้กระทำได้ เขาผู้นั้นคือผู้ปฏิเสธศรัทธา แม้ว่าเขาจะละหมาด จะถือศีลอด และอ้างตนว่ายังเป็นมุสลิมอยู่ก็ตาม
          และในทำนองเดียวกัน ผู้ที่มิต้องการให้มีการตัดสินให้เป็นไปตามบทบัญญัติศาสนา ก็เข้าอยู่ในกรณีนี้ด้วยเช่นกัน ดังที่อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          เจ้า(มุฮัมหมัด) มิได้มองดูบรรดาผู้ที่อ้างตนว่าพวกเขาศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าและสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้าดอกหรือ ?(*1*) โดยที่เขาเหล่านั้นต้องการที่จะให้การแก่อัฏฏอฆูต (*2*) ทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกใช้ให้ปฏิเสธมันและชัยฏอนนั้นต้องการที่จะให้พวกเขาหลงทางที่ห่างไกล 
(ซูเราะห์ อันนิซาอฺ 4 :60) 
----------------------------------------------------------------------------------
(1)   บรรดาผู้ที่อ้างตนว่าศรัทธานั้น คือพวกมุนาฟิก (2)  หมายถึง กะอ์บ บินอัล-อัชร็อฟ เพื่อให้เขาตัดสิน - สาเหตุแห่งการลงมาของอายะฮ์นี้มีว่า มีชายชาวอันซอร์คนหนึ่งกับชาวยิวคนหนึ่งทะเลาะกันชาวยิวกล่าวว่าให้มุฮัมมัดตัดสินระหว่างฉันกับท่าน แล้วชาวอันซอรก็กล่าวว่า ให้กะอ์บ บิน อัล-อัชร็อฟ เป็นผู้ตัดสิน 
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ คับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี  (คือดีใจเห็นชอบตามที่ท่านนะบีตัดสินทุกอย่าง เช่นนี้พวกเขาจึงจะอยู่ในฐานะผู้ศรัทธา )
(ซูเราะห์ อันนิซาอฺ 4 :65)

          และนี่คือ สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดสำหรับมุสลิมปัจจุบัน เพราะรัฐบาลมุสลิมหรือผู้ปกครองมุสลิมเป็นจำนวนมากผินหลังละทิ้งไม่เอาคัมภีร์ของอัลเลาะห์ มาใช้ในการตัดสิน แต่กลับไปเอากฎหมายที่ออกมาโดยพวกตะวันตก และนำมาใช้ตัดสินระหว่างประชาชน ดังนั้น จึงจำเป็นที่มุสลิมจะต้องรู้บทบัญญัติของอัลเลาะห์ ให้ดี และอย่าได้ยินยอมกระทำตามบทบัญญัติของผู้ฝ่าฝืนเหล่านั้นเป็นอันขาด!
          สิ่งที่ทำให้เสียอิสลามอีกประการหนึ่งคือ การละทิ้งละหมาด ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธการละหมาดฟัรดูว่ามิใช่เป็นวาญิบ เขาก็ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) ด้วยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์มุสลิม และผู้ใดที่ละทิ้งละหมาดเพราะความเกียจคร้านมิใช่เพราะปฏิเสธหลักการ ทั้งๆที่มีการเรียกร้องให้ไปละหมาด แต่เขาก็ยังคงดื้อดึง และละทิ้งละหมาดอยู่เป็นประจำ เขาก็เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น ดังที่อัลเลาะห์ตรัสว่า :
          แล้วหากพวกเขาสำนึกผิดกลับตัว และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาตแล้วไซร้ก็เป็นพี่น้องของพวกเจ้าในศาสนา และเราจะแจกแจงบรรดาโองการไว้แก่กลุ่มชนที่รู้(คือกลุ่มชนที่ใช้สติปัญญาและมีความเข้าใจ)

(ซูเราะห์ อัตเตาว์บะห์ 9 : 11)
  
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
42. อะไรที่นำพวกท่านเข้าสู่กองไฟที่เผาไหม้ (*1*)
  
43. พวกเขากล่าวว่า เรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำละหมาด
 
44. เรามิได้ให้อาหารแก่บรรดาผู้ขัดสน
 
45. และพวกเราเคยมั่วสุมอยู่กับพวกที่มั่วสุม
 
46. และเราเคยปฏิเสธวันแห่งการตอบแทน  
 
47. จนกระทั่งความตายได้มาเยือนเรา (*2*)
 
48. ดังนั้นการชะฟาอะห์ของบรรดาผู้มีชะฟาอะห์จะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเขา (*3*) 
(ซูเราะห์ อัลมุดดัรซิร 74 : 42-48)
----------------------------------------------------------------------------------
(1)  คือทุกชีวิตนั้นย่อมผูกพันกับผลงานที่เขาได้กระทำไว้ในโลกดุนยา เว้นแต่กลุ่มทางเขา คือบรรดามุอฺมินที่มีความสุขเพราะพวกเขาได้สามารถปลดเปลื้องตัวของพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษด้วยการศรัทธาและการจงรักภักดีเชื่อฟังต่ออัลเลาะห์ พวกเขาจะมีความสุขอยู่ในสวนสวรรค์และไต่ถามซึ่งกันและกันถึงสภาพของบรรดาผู้กระทำผิดที่อยู่ในนรกว่า ด้วยเหตุอันใดเล่าที่ทำให้พวกท่านเข้าไปอยู่ในนรก? การถามนี้เป็นการดูถูกและเย้ยหยันเพราะเขารู้ดีถึงสาเหตุอันแท้จริงแล้ว 
(2)  บรรดาผู้กระทำผิดที่อยู่ในนรกจะกล่าวตอบว่า พวกเขาได้กระทำผิดที่ใหญ่ยิ่ง คือการทิ้งละหมาด ไม่บริจาคซะกาต มั่วสุมอยู่กับคนเลว และปฏิเสธวันกิยามะฮฺว่าไม่มีการชำระและการตอบแทนในการทำความผิดดังกล่าวนั้น พวกเราก็มิได้สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวจนกระทั่งความตายได้มาถึงเรา แล้วพวกเราก็ต้องมารับเคราะห์กรรมดังที่เห็นอยู่ขณะนี้
(3)  ดังนั้นจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดช่วยพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ถึงแม้ว่าชาวโลกทั้งมวลจะมาช่วยเหลือพวกเขาก็ตาม การชะฟาอะห์ของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการตอบรับ
          และยังแจ้งให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเข้านรก ก็เพราะการละทิ้งการละหมาดนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ การขอชะฟาอะห์ของผู้ขอชะฟาอะห์ใดๆ จึงไม่เป็นผล การขอชะฟาอะห์ของผู้ที่ขอชะฟาอะห์ที่เป็นมุสลิมนั้น จะเป็นประโยชน์แก่เขา ด้วยอนุมัติของอัลเลาะห์
ท่านรอซูล กล่าวว่า :
          พันธะสัญญาระหว่างเรากับพวกเขา(พวกกาฟิรฺ) ก็คือ การละหมาด          (บันทึกโดยอัตติรมิซีย์)
          ฮะดีษนี้ ชี้ให้เห็นว่า การละหมาดเป็นตัวจำแนกชี้ขาดระหว่างผู้เป็นกาฟิร กับผู้เป็นมุสลิม ดังนั้น ผู้ใดที่ไม่ละหมาดเขาก็มิใช่มุสลิม ท่านรอซูล กล่าวว่า :
          ระหว่างผู้เป็นบ่าวกับการกุฟรฺ หรือ ชิริก ก็คือ การละทิ้งละหมาดนั่นเอง          (บันทึกโดยอัตติรมิซีย์)
          ตัวบทจากกิตาบุลลอฮ์ และซุนนะห์แห่งรอซูล ของพระองค์เหล่านี้ บ่งชี้ชัดว่า ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นกุฟรฺ และออกนอกแนวทางของอิสลาม แม้ว่าเขาจะอ้างว่าตนเป็นมุสลิมและอาศัยอยู่กับมุสลิมก็ตาม
          ปัจจุบันมีผู้ละทิ้งละหมาดกันเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้ใดกล้าจะไปทำอะไรกับพวกเขาได้ ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ละหมาด แต่อย่างไรก็ตาม อิสลามยังให้โอกาสเขากลับเนื้อกลับตัว หากเขาต้องการจะกลับเนื้อกลับตัวและดำรงละหมาด หรือไม่ก็ให้ประหารชีวิตเขาได้ในฐานะที่เป็นผู้ตกศาสนา(มุรตัด) ไม่อนุญาตให้นำศพมาฝังในกุบู๊รของมุสลิม ทรัพย์มรดกของเขานั้นญาติคนใดก็รับไม่ได้ แต่ให้ส่งเข้ากองคลังกลางของอิสลาม(บัยตุลมาล) และในทำนองเดียวกันก็ให้แยกภรรยาของเขาที่เป็นมุสลิมะห์ออกไปเสีย เพราะมุสลิมะห์นั้น ไม่เป็นที่อนุมัติ(ฮะล้าล) สำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ)
ดังที่อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
           พวกนางนั้น มิได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขา และพวกเขาก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่พวกนาง           (อัลมุมตะฮินะห์ 60 : 10)
          ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้เขามาแต่งงานกับหญิงมุสลิม และไม่อนุมัติให้หญิงมุสลิมไปแต่งงานกินอยู่กับเขา
          หากฮุก่มของอัลเลาะห์ ถูกนำมาใช้ในข้อนี้อย่างจริงจัง ประเทศมุสลิม บ้านมุสลิม ก็จะสะอาดปลอดภัยจากอาชญากรรม ดังที่กล่าวมาแล้ว และจะทำให้สังคมมุสลิมมีแต่ความสงบสุขไม่ตกต่ำดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
          ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม ซึ่งมีอยู่แพร่หลายมากมาย ในปัจจุบันสังคมมุสลิม นับเป็นต้นเหตุของการเกิดลัทธินอกคอกมากมายแพร่หลายมากขึ้น อันเป็นเหตุให้มุสลิมสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) ทั้งนี้ก็เพราะส่วนมากแล้วพวกเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือ อิสลาม และอะไรไม่ใช่อิสลามนั่นเอง
          สิ่งที่ทำให้สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) อีกประการหนึ่ง ก็คือ ผู้ใดไม่ถือว่าบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี(มุชริกีน) ตกเป็นผู้ปฏิเสธ(กาฟิรฺ) หรือเกิดความคลางแคลงใจสงสัยในการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ของบรรดาผู้ตั้งภาคี(มุชริกีน) หรือเห็นคล้อยตามไปด้วยว่าแนวทางของบรรดาผู้ตั้งภาคีกับอัลเลาะห์(ซ.บ.)นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว เขาผู้นั้นก็ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) แล้วนั่นเอง
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
25. แท้จริงบรรดาผู้ผินหลังกลับของพวกเขาหลังจากที่แนวทางที่ถูกต้องเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว ชัยฎอนมารร้ายได้ล่อลวง พวกเขาได้ให้ความหวังแก่พวกเขา (ว่าจะมีชีวิตยืนนาน) 
 
26. ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาได้กล่าวแก่บรรดาผู้เกลียดชังสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงประทานลงมาว่าเราจะเชื่อฟังปฏิบัติตามในกิจการบางอย่าง แต่อัลเลาะห์ทรงทราบดีถึงความลับของพวกเขา(*1*) 
   
27. แล้ว(สภาพของพวกเขา) จะเป็นเช่นไร เมื่อมะลาอิกะห์มาเอาชีวิตของพวกเขาโดยตีใบหน้าของพวกเขาและหลังของพวกเขา (*2*)   

28. ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่จะก่อความกริ้วแด่อัลเลาะห์ และพวกเขารังเกียจความโปรดปรานของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล(*3*)
 
(ซูเราะห์ มุฮัมหมัด 47 : 25-28)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) ทั้งนี้เพราะพวกมุชริกีนได้กล่าวแก่บรรดาผู้เกลียดชังถึงสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานลงมาคืออัลกุรอานว่าเราจะร่วมมือกับพวกท่านในการเป็นศัตรูต่อร่อซูล และด้วยการขัดขวางบรรดามุอฺมินมิให้เข้าทำการญิฮาด แล้วอัลเลาะห์จะทรงเปิดเผยความลับของพวกเขา  (2)  สภาพของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ขณะที่มะลาอิกะห์แห่งการลงโทษมาเอาชีวิตของพวกเขาโดยมีฆ้อนเหล็กมาเพื่อตีใบหน้าและหลังของพวกเขา 
(3)  ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงกริ้วคือการชิริกและการฝ่าฝืน และสิ่งที่อัลเลาะห์พอพระทัยคือการเตาฮีด และการงานที่ดี ดังนั้นสิ่งที่พวกเขากระทำไปก็จะเป็นการไร้ผลไม่ได้ผลบุญเป็นการตอบแทน
 
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
          และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาตทั้งหลายของพระเจ้าของเขา แล้วเขาก็ผินหลังให้กับอายาตเหล่านั้น (คือไม่ยอมศรัทธาและทำเป็นลืม แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิด (คือผู้ปฏิเสธอายาตต่าง ๆของเรา) 
(ซูเราะห์ อัซซัจญ์ดะห์ 32 : 22)
อัลเลาะห์ ตรัสไว้อีกว่า :
          เรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองเพื่ออื่นใดเว้นแต่ด้วยความจริง และวาระที่ถูกกำหนดไว้ แต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ผินหลังให้จากสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือน (*1*) 
(ซูเราะห์ อัลอะฮฺก็อฟ 46 : 3)
----------------------------------------------------------------------------------
 (1)  คือเรามิได้สร้างทั้งสองและสิ่งที่อยู่ในมันโดยไร้ประโยชน์ แต่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเคล็ดลับและเป็นการชี้บ่งถึงความเป็นเอกภาพของเรา และเดชานุภาพอันสมบูรณ์ของเรา และวาระที่ถูกกำหนดไว้คือวาระแห่งการสูญสลายมันทั้งสองนั้นคือวันกิยามะฮฺ แต่พวกกุฟฟารเหล่านั้นผินหลังให้กับสิ่งที่พวกเขาได้รับการตักเตือนว่าจะมีการลงโทษโดยที่พวกเขามิได้ใคร่ครวญและเตรียมตัวเพื่อเผชิญหน้ากับวันแห่งการตอบแทน 

          ข้าแต่อัลเลาะห์ ขอพระองค์ทรงให้เรามีความเข้าใจแจ่มแจ้งในอิสลาม และโปรดให้เรายืนหยัดอยู่กับอิสลาม จนกระทั่งถึงวันที่เราจะได้พบกับพระองค์โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเถิด โอ้พระเจ้าแห่งโลกทั้งผอง ข้าแต่อัลเลาะห์ ขอพระองค์ทรงให้เราได้เห็นความจริงเป็นความความจริง และโปรดให้เราได้ปฏิบัติตามความจริงนั้นด้วยเถิด และโปรดให้เราได้เห็นความเท็จเป็นความเท็จ และโปรดให้เราได้ห่างไกลจากความเท็จเหล่านั้นด้วยเถิด